เศรษฐกิจสมัยอยุธยา ตอนที่ 3
การเป็นไพร่มีสังกัด
พวกไพร่จะได้รับสิทธิบางอย่างในการจดทะเบียนที่ทำกัน
สิทธิในการฟ้องร้องคดีเพื่อให้ได้มา ซึ่งความคุ้มครองในชีวิตและทรัพย์ตามกฎหมายที่กำหนดศักดินา
ไว้พิจารณาเปรียบเทียบปรับในศาล ผู้ที่ไม่มีสังกัดจะไม่สามารถฟ้องร้องคดีใดๆ ได้
และจะต้องถูกจับไปเป็นไพร่หลวงอีกด้วย ดังนั้น สามัญชนทุกคนจึงต้องอยู่ในระบบไพร่ แต่การที่ บรรดาไพร่ที่เป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ถูกเกณฑ์แรงงานโดยไม่มีค่าตอบแทน เป็นช่วงๆ ไม่ติดต่อกันเป็นระยะเวลาถึงหกเดือนในแต่ละปี ทั้งยาวนานติดต่อกันเป็นเวลา หลายปี
จึงทำให้บรรดาไพร่ยากที่จะทำการงานและธุรกิจใดๆ ให้เจริญเติบโต หรือสามารถสะสมทุน
ตลอดจนไม่สามารถไปมาค้าขายในที่ไกลๆ ได้ นับว่าระบบไพร่ได้ตัดโอกาสใน
การที่ประชาชนจะสามารถประกอบอาชีพ
ให้เป็นล่ำเป็นสันลงทั้งมีส่วนทำให้ประชาชนทำการผลิตเพียงเพื่อการบริโภคในครัวเรือน
มิได้ผลิตเพื่อเป็นสินค้าและนอกจากประชาชนใน
สมัยอยุธยาต้องเสียภาษีให้แก่ทางการในรูปของแรงงานและสิ่งของที่เป็นส่วยแล้ว
ผู้ที่ประกอบการค้าจะต้องเสียภาษีจากการประกอบกิจการด้วย โดยทางการจะเก็บ “จังกอบ” เมื่อขนสินค้าผ่านด่านเรียกว่า “ขนอน” ในอัตราสิบชักหนึ่งเก็บอาการจากการทำนาทำไร่ ทำสวนหรือกิจการที่ได้รับสัมปทาน เช่น เก็บของป่า จับ ปลา ต้มเหล้า
ตั้งบ่อน ต่างต้องเสียอากรทั้งสิ้น อากรบางชนิดจ่ายเป็นสิ่งที่ผลิตขึ้น เช่น อากร
ค่านาที่จ่ายเป็นข้าวให้ทางการที่เรียกว่า“หางข้าว” ซึ่งผู้จ่ายมีหน้าที่ที่จะต้องขนข้าวไปยังยุ้งฉางของทางการ
ศูนย์ประวัติศาสตร์อยุธยา จำลองภาพชีวิต สังคม วัฒนธรรมของกรุงศรีอยุธยาในอดีตขึ้นมาใหม่ |
นิทรรศการรูปจำลอง เรือสำเภาชองชาติต่างๆ ที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา |
ด้วยลักษณะการผลิตของประชาชนที่ทำเพียงพอแก่การยังชีพ
เศรษฐกิจของอยุธยาจึงเป็นเศรษฐกิจแบบพอยังชีพไปด้วย แต่ด้วยระบบของการ
จัดเก็บภาษีการเกณฑ์แรงงานหรือการการมีไพร่ส่วยนี้ ได้ทำให้เกิดมีสินค้าขึ้น
มีการขนถ่ายผลิตผลที่ได้จากภาษีอากรและผลิตผลจากป่าไปยังเมืองหลวง
ซึ่งเมื่อทางการนำสิ่งเหล่านั้นไปใช้จนเพียงพอแล้วก็รวบรวมผลิตผลที่เหลือเหล่านี้ไว้ในคลัง
เพื่อขายให้แก่พ่อค้าต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาขอซื้อ
หรือบรรทุกเรือสำเภาของพระเจ้าแผ่นดิน เจ้านายบางพระองค์ส่งไปขายยังต่างประเทศ
ซึ่งในสมัยอยุธยาตอนต้น ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ริวกิว ฟิลิปปินส์ทางตะวันออก อินเดีย
ลังกา อาหรับ ชวา มลายูทางตะวันตกและทางใต้ เป็นต้น สินค้าที่นำไปขายยังประเทศจีนจะอยู่ในระบบสินค้าบรรณาการที่มีการส่งสินค้าไปพร้อมกับเครื่องบรรณาการที่ส่งไปถวายพระเจ้าแผ่นดินจีน
สินค้าพวกนี้จะได้รับอนุญาตให้ขายได้โดยส ะดวกและไม่มีการเก็บภาษีอีกด้วย
สินค้าในระบบบรรณาการกับจีนซึ่งเป็นมหาอำนาจใหญ่และขณะนั้น มีความสำคัญมาก
เนื่องจากมีกำไรสูง และเมื่อขายสินค้าแล้วก็จะซื้อสินค้าของจีน
ซึ่งเป็นที่ต้องการมากในอยุธยาเองและในหมู่พ่อค้าตะวันตกกลับมา
การค้าในลักษณะนี้มีอยู่เกือบตลอดสมัยอยุธยา กล่าวได้ว่า ภาษีที่เก็บในรูปของพืชผล และส่วยผลิตผลจากป่าได้ทำให้เกิด การค้าต่างประเทศขึ้น โดยที่ผลิตผลเหล่านี้ได้มาจากส่วยสาอากรที่ไม่มีค่าใช้จ่าย
ดังนั้น
การค้าต่างประเทศจึงก่อให้เกิดรายได้แก่พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาเป็นจำนวนมากมาย
นอกจากนี้ ผู้ที่ สามารถประกอบการค้าต่างประเทศได้ก็มีแต่ เจ้านาย
ข้าราชการชั้นสูง ข้าราชการพระคลังสินค้า และชาวต่างประเทศอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น
เพราะการค้าต่างประเทศเป็นกิจการที่ต้องใช้ทุนเป็นจำนวนมาก
การที่กรุงศรีอยุธยามีอาณาเขตกว้างใหญ่ออกไปจากเดิมมาก เนื่องจากการขยายอาณาเขตในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ไปจนถึงรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ ๒ หรือเจ้าสามพระยา (พ.ศ. ๑๙๖๗-๑๙๙๑) ทำให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑- ๒๐๓๑) ทรงปฏิรูปการปกครองใหม่ใน พ.ศ. ๑๙๙๘ โดยรวมอำนาจการปกครองเข้าสู่ศูนย์กลางของอาณาจักร เพื่อให้สามารถควบคุมหัวเมืองและประเทศราชได้ดียิ่งขึ้น ทรงปรับปรุงระบบการคลัง การจัดเก็บภาษีอากร การจัดซื้อสิ่งของที่ทางการต้องการ การขายสิ่งของเป็นสินค้าหลวงและการค้าต่างประเทศในคราวเดียวกันด้วย โดยกำหนดให้เป็นหน้าที่ของพระยาโกษาธิบดี เสนาบดีฝ่ายพลเรือนแต่ฝ่ายเดียว การปรับปรุงดัง กล่าวทำให้สามารถจัดเก็บส่วยอากรจากพระราชอาณาจักรอันกว้างใหญ่ได้มากยิ่งขึ้น และทำให้มีเหลือเป็นสินค้าออกในปริมาณที่มากขึ้นด้วย ประกอบกับกรุงศรีอยุธยามีอำนาจควบคุมหัวเมืองตามท่าชายทะเลฝั่งตะวันออก ได้แก่ กลันตัน ตรังกานู สงขลา สายบุรี ปัตตานี นครศรีธรรมราช เป็นต้น และหัวเมืองท่าชายทะเลฝั่งตะวันตก ได้แก่ ตะนาวศรี ตรัง ตะกั่วป่า มะละกา เป็นต้น จึงทำให้เกิดเครือข่ายการค้าและขนถ่ายส่งสิน ค้าระหว่างทะเลทั้ง ๒ ฝั่งได้สะดวก อยุธยาซึ่งมีการค้าขายกับจีนในระบบบรรณาการ การค้ากับริวกิวและญี่ปุ่นทางตะวันออก ทั้งยังค้าขายกับ อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ ทางตะวันตก และมีสินค้าเครื่องเทศจากชวา มลายู จากทางใต้ จึงทำให้อยุธยากลายเป็นแหล่งกลางของสินค้าในย่านนี้ ทั้งยังสามารถติดต่อค้าขายขนถ่ายสินค้าตามเส้นทางน้ำขึ้นไปยังบ้านเมืองและอาณาจักรขนาดใหญ่ที่ลึกเข้าไปเช่น ลพบุรี ชัยนาท นครสวรรค์ สุโขทัย ล้านนา และล้านช้าง อยุธยาจึงกลายเป็นตลาดกลางที่สำคัญในย่านนี้ไปโดยสมบูรณ์
การที่กรุงศรีอยุธยามีอาณาเขตกว้างใหญ่ออกไปจากเดิมมาก เนื่องจากการขยายอาณาเขตในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ไปจนถึงรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ ๒ หรือเจ้าสามพระยา (พ.ศ. ๑๙๖๗-๑๙๙๑) ทำให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑- ๒๐๓๑) ทรงปฏิรูปการปกครองใหม่ใน พ.ศ. ๑๙๙๘ โดยรวมอำนาจการปกครองเข้าสู่ศูนย์กลางของอาณาจักร เพื่อให้สามารถควบคุมหัวเมืองและประเทศราชได้ดียิ่งขึ้น ทรงปรับปรุงระบบการคลัง การจัดเก็บภาษีอากร การจัดซื้อสิ่งของที่ทางการต้องการ การขายสิ่งของเป็นสินค้าหลวงและการค้าต่างประเทศในคราวเดียวกันด้วย โดยกำหนดให้เป็นหน้าที่ของพระยาโกษาธิบดี เสนาบดีฝ่ายพลเรือนแต่ฝ่ายเดียว การปรับปรุงดัง กล่าวทำให้สามารถจัดเก็บส่วยอากรจากพระราชอาณาจักรอันกว้างใหญ่ได้มากยิ่งขึ้น และทำให้มีเหลือเป็นสินค้าออกในปริมาณที่มากขึ้นด้วย ประกอบกับกรุงศรีอยุธยามีอำนาจควบคุมหัวเมืองตามท่าชายทะเลฝั่งตะวันออก ได้แก่ กลันตัน ตรังกานู สงขลา สายบุรี ปัตตานี นครศรีธรรมราช เป็นต้น และหัวเมืองท่าชายทะเลฝั่งตะวันตก ได้แก่ ตะนาวศรี ตรัง ตะกั่วป่า มะละกา เป็นต้น จึงทำให้เกิดเครือข่ายการค้าและขนถ่ายส่งสิน ค้าระหว่างทะเลทั้ง ๒ ฝั่งได้สะดวก อยุธยาซึ่งมีการค้าขายกับจีนในระบบบรรณาการ การค้ากับริวกิวและญี่ปุ่นทางตะวันออก ทั้งยังค้าขายกับ อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ ทางตะวันตก และมีสินค้าเครื่องเทศจากชวา มลายู จากทางใต้ จึงทำให้อยุธยากลายเป็นแหล่งกลางของสินค้าในย่านนี้ ทั้งยังสามารถติดต่อค้าขายขนถ่ายสินค้าตามเส้นทางน้ำขึ้นไปยังบ้านเมืองและอาณาจักรขนาดใหญ่ที่ลึกเข้าไปเช่น ลพบุรี ชัยนาท นครสวรรค์ สุโขทัย ล้านนา และล้านช้าง อยุธยาจึงกลายเป็นตลาดกลางที่สำคัญในย่านนี้ไปโดยสมบูรณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น