การเมืองการปกครองสมัยอยุธยา
(ต่อจากตอนที่ 1 )
2.2 สมัยการปฏิรูปกาปกครองครั้งสำคัญ (พ.ศ.
1991-2072) เริ่มตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
(พ.ศ.1991-2072) เป็นต้นมาจนถึงสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ. 2034-2072) นับเป็นช่วงที่มีการปฏิรูปการปกครองราชอาณาจักรให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น
ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพของอาณาจักรอยุธยาที่ขยายกว้างออกไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังที่อาณาจักรสุโขทัยถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาเมื่อในการปรับปรุงการปกครองครั้งแรกที่เกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนั้น
พระองค์ทรงปรับปรุงการปกครองให้เป็นระเบียบแบบแผน ดังนี้
1. การบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลาง
ในการบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลางนั้น สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดให้แบ่งส่วนราชการทีมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินและควบคุมกำลังคนออกเป็น
2 ฝ่าย คือ ฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน โดยมีอัครมหาเสนาบดีเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ คือ
สมุหพระกลาโหม และสมุหนายก
สมุหพระกลาโหม
มีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาและตรวจราชการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการฝ่ายทหารทั่วราชอาณาจักร
เช่น มีหน้าที่วางแผนการรบในยามสงคราม ฝึกซ้อมกำลังพลในยามปกติ และจัดหาอาวุธ
กำลังคนสำหรับการทำสงคราม เป็นต้น สำหรับสมุหกลาโหมมียศและราชทินนามว่า “เจ้าพระยามหาเสนาบดี”
สมุหนายก
มีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาและตรวจราชการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายพลเรือนทั่วราชอาณาจักร
รวมทั้งควบคุมดูแลจตุสดมภ์ทั้ง 4 ในสมัยนี้ยังคงมีหน้าที่และความรับผิดชอบเช่นเดิม
แต่มีการเปลี่ยนแปลงยศและราชทินนามของเสนาบดีจตุสดมภ์ต่างไปจากเดิม คือ
กรมเวียง(เมือง) ขุนเวียง เปลี่ยนเป็น พระนครบาล
กรมวัง ขุนวัง เปลี่ยนเป็น พระธรรมาธิกรณ์
กรมคลัง ขุนคลัง เปลี่ยนเป็น พระโกษาธิบดี
กรมนา ขุนนา เปลี่ยนเป็น พระเกษตราธิบดี
สำหรับสมุหนายกมียศและราชทินนามว่า
“เจ้าพระยาจักรี”
2.
การบริหารราชการแผ่นดินส่วนหัวเมือง ในการบริหารราชการแผ่นดินส่วนหัวเมืองนั้น
สืบเนื่องมาจากในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
อาณาจักรสุโขทัยได้ถูกผนวกเข้ารวมกับอาณาจักรอยุธยาใน พ.ศ.2006 ดังนั้น
อาณาจักรอยุธยาจึงมีหัวเมืองต่างๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
มีจำนวนพลเมืองเพิ่มมากขึ้น
จำเป็นต้องจัดระบบการบริหารราชการแผ่นดินหัวเมืองใหม่เพื่อให้เกิดความสำคัญทัดเทียมกันระหว่างบรรดาหัวเมืองในอาณาจักรอยุธยาแต่เดิมกับหัวเมืองในอาณาจักรสุโขทัยที่รวมเข้ามาภายหลังโดยมีการแบ่งลักษณะต่างๆ
ดังนี้
แผนผังแสดงการบริหารราชการแผ่นดินส่วนหัวเมืองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ |
-หัวเมืองชั้นใน
มีการยกเลิกเมืองลูกหลวงหรือเมืองหน้าด่านทั้ง 4 ทิศ และขยายขอบเขตการปกครองราชธานีให้กว้างออกไป
โดยให้เมืองเหล่านี้รวมเข้าเป็นเมืองที่อยู่ในวงราชธานีเป็นเมืองชั้น จัตวา
มีผู้รั้งเมืองกับกรมการเมืองเป็นพนักงานปกครองและขึ้นตรงต่อเสนาบดีต่างๆ
ที่ราชธานี หัวเมืองชั้นในที่สำคัญ เช่น เมืองราชบุรี เพชรบุรี ปราณบุรี
สมุทรสงคราม นครชัยศรี สุพรรณบุรี ชัยนาท ชลบุรี นครสวรรค์ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี
และนครนายก
-หัวเมืองชั้นนอก(เมืองพระยามหานคร) มีการจัดเมืองเหล่านี้ออกเป็นชั้นเอก
ชั้นโท ชั้นตรี ตามลำดับขนาดและความสำคัญของเมือง หัวเมืองชั้นนอกต่างมีเมืองขึ้นอยู่กับการปกครอง
เช่นเดียวกันกับราชธานี โดยพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งขุนนางชั้นสูงไปเป็นผู้สำเร็จราชการเมือง
มีอำนาจบังคับบัญชาทุกอย่าง
หัวเมืองชั้นนอกที่สำคัญ เช่น พิษณุโลก ชุมพร นครศรีธรรมราช จันทบุรี
เป็นต้น ส่วนการปกครองท้องที่ ในเขตเมืองหนึ่งๆ จะแบ่งการปกครองออกเป็น บ้าน ตำบล
แขวง และเมือง
-หัวเมืองประเทศราช ลักษณะการปกครองยังคงเป็นแบบเดียวกันกับสมัยอยุธยาตอนต้น
นั่นคือ มีเจ้าเมืองของตนเองเป็นผู้ปกครอง แต่ต้องส่งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทองและเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่พระมหากษัตริย์ที่กรุงศรีอยุธยาตามกำหนดเวลา
ต้องเกณฑ์ผู้คนและสิ่งของไปช่วยราชการที่ราชธานีกำหนด หัวเมืองประเทศราชสมัยนั้น
เช่น ทวาย ตะนาวศรี เชียงกราน เขมร มะละกา เป็นต้น
ต่อมาในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
ได้ทรงจัดให้มีการทำสารบัญชีรายชื่อ เพื่อเกณฑ์ไพร่พล
และจัดตั้งกรมสุรัสวดี(สัสดี) เพื่อขึ้นทะเบียนกำลังพล และจัดทำพิธีเกณฑ์ไพร่พล
เป็นต้น
2.3 สมัยอยุธยาตอนปลาย (พ.ศ. 2072-2310) ใน “พระธรรมนูญ” ว่าด้วยการใช้ตราประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2176 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้แสดงให้เห็นว่าสมุหพระกลาโหมมีหน้าที่บังคับบัญชากิจการทหารและพลเรือนในหัวเมืองฝ่ายใต้ และสมุหนายกมีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชากิจการทหารแลพลเรือนในหัวเมืองฝ่ายเหนือ ส่วนเสนาบดีกรมคลังมีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชากิจการทหารและพลเรือนในหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก ต่อมาไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าในรัชกาลใด สมุหพรกลาโหมทำความผิด พระมหากษัตริย์จึงยกหัวเมืองฝ่ายใต้การปกครองของสมุหพระกลาโหมมาขึ้นตรงกับกรมคลัง สำหรับจตุสดมภ์ในสมัยอยุธยาตอนปลายมีบางกรมเปลี่ยนชื่อเรียก ส่วนเสนาบดีเลื่อนยศสูงขึ้นและเปลี่ยนราชทินนามเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ พระยายมราช(กรมนครบาล) พระยาธรรมาธิบดี(กรมวัง) พระยาศรีธรรมราชหรือโกษาธิบดี(กรมคลัง และพระยาพลเทพ(กรมนา)
2.3 สมัยอยุธยาตอนปลาย (พ.ศ. 2072-2310) ใน “พระธรรมนูญ” ว่าด้วยการใช้ตราประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2176 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้แสดงให้เห็นว่าสมุหพระกลาโหมมีหน้าที่บังคับบัญชากิจการทหารและพลเรือนในหัวเมืองฝ่ายใต้ และสมุหนายกมีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชากิจการทหารแลพลเรือนในหัวเมืองฝ่ายเหนือ ส่วนเสนาบดีกรมคลังมีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชากิจการทหารและพลเรือนในหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก ต่อมาไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าในรัชกาลใด สมุหพรกลาโหมทำความผิด พระมหากษัตริย์จึงยกหัวเมืองฝ่ายใต้การปกครองของสมุหพระกลาโหมมาขึ้นตรงกับกรมคลัง สำหรับจตุสดมภ์ในสมัยอยุธยาตอนปลายมีบางกรมเปลี่ยนชื่อเรียก ส่วนเสนาบดีเลื่อนยศสูงขึ้นและเปลี่ยนราชทินนามเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ พระยายมราช(กรมนครบาล) พระยาธรรมาธิบดี(กรมวัง) พระยาศรีธรรมราชหรือโกษาธิบดี(กรมคลัง และพระยาพลเทพ(กรมนา)
แผนผังแสดงการปกครองในสมัยอยุธยาตอนปลาย |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น