สมเด็จพระเจ้ารามราชา
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรง ครองราชย์ที่กรุงศรีอยุธยาเป็นระยะเวลา
๑๕ ปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นรัชกาลหนึ่งที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะ ปกติสุข
สมเด็จพระเจ้ารามราชาเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราเมศวรและเป็นพระราชนัดดาของ
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) เสด็จพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๙
พ.ศ. ๑๙๓๘ สมเด็จพระเจ้ารามราชาได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระราชบิดา
ขณะ เมื่อ พระชนมายุประมาณ ๒๑ พรรษา (ดังที่ปรากฏในหลักฐานของวันวลิต)
ทรงพระนามว่า สมเด็จ พระเจ้ารามราชา หรือสมเด็จพระเจ้ารามราชาธิราช บางครั้งเรียกพระนามว่า
สมเด็จพระยาราม หรือ สมเด็จพระราม ปรากฏว่าในช่วงระยะเวลาที่ทรงครองราชย์อยู่นั้น กรุงศรีอยุธยาอยู่ในภาวะปกติสุข
นอกจากนี้ได้ทรงริเริ่มส่งราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรีกับอาณาจักรจีนเมื่อ พ.ศ. ๑๙๔๐ และ ในระยะเวลาต่อมายังได้ส่งทูตไปแลกเปลี่ยนสัมพันธไมตรีกันอยู่เสมอ
เช่น ใน พ.ศ. ๑๙๔๗ ทรงส่ง คณะทูตไปจีนเพื่อเจรจาความด้านการค้า
จักรพรรดิจีนทรงมอบของกำนัลตอบแทน และพระราชทาน หนังสือประวัติสตรีสุจริตให้ ๑๐๐ เล่ม
ราชทูตสยามทูลขอกฎหมายจากเมืองจีนเพื่อนำไปเป็นแบบอย่าง สำหรับประเทศ จักรพรรดิจีนก็พระราชทานให้
อย่างไรก็ดีการที่ทางพระเจ้ากรุงจีนทรงให้ความ สนิทสนมกับเจ้านครอินทร์ เจ้าผู้ครองเมืองสุพรรณบุรีและเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระบรมราชาธิราช
ที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) ถึงกับทรงยกย่องว่าเป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง
ก็ทำให้สมเด็จพระเจ้ารามราชา ทรงระแวง ไม่ไว้วางพระทัยเจ้านครอินทร์มากยิ่งขึ้น
ในด้านความมั่นคงของอาณาจักรและการแผ่ขยายอำนาจของกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระเจ้า รามราชาได้ทรงพยายามขยายอำนาจไปยังอาณาจักรล้านนาและอาณาจักรสุโขทัย
แต่ไม่ประสบ ผลสำเร็จ ยิ่งกว่านั้นตอนปลายรัชกาล ทรงมีข้อพิพาทกับเจ้าเสนาบดี ซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดี
เจ้าเสนาบดีได้หนีไปอยู่ฟากปทาคูจามซึ่งอยู่ตรงคลองคูจามหรือคลองบ้านข่อยตรงข้ามกับเกาะเมือง
พระนครศรีอยุธยา เป็นที่ตั้งชุมชนไทยเชื้อสายจาม ต่อมาเจ้าเสนาบดีได้ร่วมกับเจ้านครอินทร์ยกกำลัง
จากเมืองสุพรรณบุรีมายึดกรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้นได้กราบทูลเชิญเจ้านครอินทร์ขึ้นครองราชสมบัติ
ณ กรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่าสมเด็จพระนครินทราธิราช หรือสมเด็จพระอินทราชาแห่งราชวงศ์
สุพรรณภูมิ ส่วนสมเด็จพระเจ้ารามราชาให้ไปครองเมืองปทาคูจามและเสด็จสวรรคตในเวลาต่อมา
โดยไม่ปรากฏวัน เดือน ปีที่สวรรคต อย่างไรก็ดี เมื่อนับปีที่สมเด็จพระเจ้ารามราชาครองราชสมบัติ
ณ กรุงศรีอยุธยาจาก พ.ศ. ๑๙๓๘ จนถึง พ.ศ. ๑๙๕๒ ซึ่งเป็นปีแรกแห่งการครองราชย์ของสมเด็จพระนครินทราธิราช
ณ กรุงศรีอยุธยา รวมเป็นเวลา ๑๕ ปี สังคีติยวงศ์ระบุว่าสมเด็จพระเจ้ารามราชผู้ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราเมศวรนี้มีพระบุญญาธิการมากเช่นเดียวกับพระราชบิดา
เกี่ยวกับการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้ารามราชาตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้นปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงนิพนธ์อธิบายประกอบ และพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ แต่พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาภาษามคธแลคำแปลกับสังคีติยวงศ์ได้กล่าวขัดแย้งกับเอกสารทั้ง
๒ เรื่องข้างต้น โดยกล่าวความว่า
“ในกาลต่อมานั้น พระเจ้าลุงของพระเจ้ารามราชา
ทรงพระนามว่าพระเจ้านครอินท์เป็นเจ้าเมืองสุวรรณภูมิ (เมืองสุพรรณ)
เป็นญาติของพระเจ้าพงุมหานายก ยกพลมาแย่งชิงเอาราช สมบัติในกรุงศรีอยุธยานั้นได้แล้ว
จับพระเจ้ารามราชานั้นสำเร็จโทษเสีย...”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น