สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
หรือพระเจ้าอู่ทอง ทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ใน
จดหมายเหตุโหรว่าเสด็จพระราชสมภพ พ.ศ. ๑๘๕๗ ได้ทรงสถาปนาเมืองหลวงขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า หนองโสน เมื่อจุลศักราช ๗๑๒
ปีขาล โทศก
วันศุกร์ ขึ้น
๖ ค่ำ
เดือนห้า เวลา
๓ นาฬิกา ๙ บาท
ตรงกับวันศุกร์ที่ ๔
มีนาคม พ.ศ. ๑๘๙๓ เมื่อแรกเสวยราชย์นั้นทรงพระนามว่าสมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสุนทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ขณะพระชนมายุได้ ๓๗
พรรษา
ในประวัติศาสตร์ไทยมีความเชื่อกันว่าพระเจ้าอู่ทองอาจจะทรงอพยพมาจากเมืองใกล้เคียงอื่น เพราะอย่างน้อยก่อนที่จะทรงสถาปนาพระนครศรีอยุธยาขึ้น ก็ทรงให้ย้ายเมืองข้ามฝั่งจากบริเวณทิศใต้ ของเกาะเมืองมาตั้งอยู่บริเวณใจกลางพระนครปัจจุบัน และต่อมาทรงสถาปนาพระอารามขึ้นบริเวณ ที่ประทับเดิมหรือบริเวณเวียงเหล็ก คือวัดพุทไธศวรรย์ และได้ทรงสร้างพระราชวังขึ้นในบริเวณ เกาะเมือง
ข้อสันนิษฐานต่าง ๆเกี่ยวกับที่มาของพระเจ้าอู่ทองนั้นสรุปได้ดังนี้
๑. พระเจ้าอู่ทองเสด็จมาจากหัวเมืองเหนือ ปรากฏข้อความในเอกสารของลาลูแบร์ ซึ่งเป็นผู้แทนพิเศษของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔
เข้ามาในอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ และเอกสารสายสงฆ์ เช่น
ในจุลยุทธการวงศ์พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาของสมเด็จพระพนรัตน์ และในพระราชพงศาวดารสังเขปของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าวว่าพระเจ้าอู่ทองอพยพลงมาจากเมืองเชียงแสน ลงมาที่เมืองไตรตรึงษ์ กำแพงเพชร แล้วจึงอพยพลงมาที่หนองโสน
๒. เอกสารประวัติศาสตร์พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาของวันวลิต พ.ศ. ๒๑๘๒ กล่าวถึงการอพยพของพระเจ้าอู่ทองว่ามาจากเมืองเพชรบุรี แล้วจึงอพยพต่อมาที่อยุธยา
๓. หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากเมืองละโว้
หลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่ทำให้เห็นร่องรอยว่าพระเจ้าอู่ทองเสด็จลงมาจากทางเหนือคือ “คู่มือทูตตอบ”
ซึ่งเป็นคู่มือที่เรียบเรียงขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีข้อความอ้างถึงที่มาของพระเจ้าอู่ทองว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบันสืบมาแต่สมเด็จพระปฐมนารายณ์อิศวรบพิตร เมื่อ พ.ศ. ๑๓๐๐ มีกษัตริย์สืบทอดกันมา ๑๐
พระองค์ ต่อมาสมเด็จพระยโศธรธรรมเทพราชาธิราชทรงก่อตั้ง
กรุงยโศธรปุระ
และมีกษัตริย์สืบมาอีก ๑๒
พระองค์ จากนั้นสมเด็จพระพนมทะเลเสด็จไปประทับที่สุโขทัยใน พ.ศ. ๑๗๓๑ ทรงตั้งเมืองเพชรบุรีมีกษัตริย์สืบต่อมา ๔
พระองค์ ในที่สุดสมเด็จพระรามาธิบดีได้ทรงสร้างกรุงสยามเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๔ รวมพระมหากษัตริย์นับแต่แรกสถาปนากรุงเมื่อพ.ศ.
๑๓๐๐ จนถึง พ.ศ.
๒๒๒๖ ได้
๕๐ รัชกาลในระยะเวลา ๙๒๖
ปี
คู่มือทูตฉบับนี้ สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นราว พ.ศ. ๒๒๒๔-พ.ศ. ๒๒๒๕ เพื่อใช้เป็นแนวคำถาม- ตอบของราชทูตสยามที่จะเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
ทรงสถาปนาพระราชอาณาจักรขึ้นแล้ว ได้ทรงทำนุบำรุงพระราช- อาณาเขตให้กว้างขวางออกไป ดังที่ปรากฏความในพระราชพงศาวดารฉบับต่าง ๆ
เมื่อเสด็จเสวยราชย์ ว่า
เมื่อแรกสถาปนาพระนครนั้นหลังจากพิธีกลบบัตรสุมเพลิงแล้ว ขุดดินลงไปเพื่อสร้างพระราชวัง ได้
พระมหาสังข์ทักษิณาวัฏขอนหนึ่ง จึงโปรดให้สร้างพระที่นั่งองค์ต่าง ๆ
ขึ้นในบริเวณพระราชวังหลวง คือ
พระที่นั่งไพฑูรย์มหาปราสาท พระที่นั่งไพชยนตร์มหาปราสาท และพระที่นั่งไอสวรรย์มหาปราสาท
หลังจากนั้นปรากฏความในจุลยุทธการวงศ์ว่าพญาประเทศราชทั้ง ๑๖
หัวเมืองได้มาถวายบังคม
ได้แก่ มะละกา (ดินแดนแหลมมลายู) ชวา (ดินแดนลาวหลวงพระบาง) ตะนาวศรี นครศรีธรรมราช ทวาย
เมาะตะมะ เมาะลำเลิง สงขลา จันทบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย พิชัย สวรรคโลก พิจิตร กำแพงเพชร และนครสวรรค์ หลังจากนั้นปรากฏว่ามีสงครามกับเมืองกัมพูชา จึงโปรดให้พระเจ้า ลูกเธอพระราเมศวรซึ่งไปครองเมืองลพบุรี ลงมาตั้งทัพยกออกไปถึงกรุงกัมพูชา แต่ทัพอยุธยาเกือบ เสียทีเพลี่ยงพล้ำ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
โปรดให้ขุนหลวงพะงั่วลงมาจากเมืองสุพรรณบุรี แล้ว
กรีธาทัพไปช่วยสมเด็จพระราเมศวร ทำให้ทัพอยุธยาสามารถเอาชนะได้ และกวาดต้อนเทครัวชาว กัมพูชามายังพระนครศรีอยุธยา
ในช่วงต้นรัชกาลนั้น นอกจากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
จะทรงทำสงครามเพื่อขยายพระราช- อาณาเขตและสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่อาณาจักรแล้ว ยังทรงตรากฎหมายต่างๆขึ้นเพื่อรักษาความ สงบเรียบร้อยภายในอีกหลายฉบับ คือพระอัยการลักษณะพยาน พระอัยการลักษณะอาญาหลวง พระอัยการลักษณะรับฟ้อง พระอัยการลักษณะลักพา พระอัยการลักษณะอาญาราษฎร์ พระอัยการ ลักษณะโจร พระอัยการลักษณะเบ็ดเสร็จ พระอัยการลักษณะผัวเมีย กฎหมายเหล่านี้เป็นที่มาของ กระบวนการยุติธรรมที่สร้างความสงบสุขให้แก่อาณาประชาราษฎร์ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ในรัชกาลของพระองค์ยังมีงานวรรณคดีชิ้นสำคัญคือลิลิตโองการแช่งน้ำ ซึ่งเป็น วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้นที่บ่งบอกความสืบเนื่องของวรรณคดีในลุ่มน้ำภาคกลางที่ผสานกับความเชื่อ ท้องถิ่น ลิลิตโองการแช่งน้ำหรือโองการแช่งน้ำเป็นวรรณคดีสำหรับพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัจจา เพื่อสร้างความชอบธรรมและการแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ ลักษณะการประพันธ์ ประกอบด้วยโคลงห้าและร่าย มีศัพท์ภาษาไทย บาลีสันสกฤต และเขมรปนอยู่ เนื้อหาเป็นการสดุดี เทพ
แช่งผู้ที่ไม่จงรักภักดี และให้พรผู้ที่จงรักภักดี
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
ทรงสถาปนาพระอารามแห่งแรกขึ้น ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร คือวัดพุทไธศวรรย์ ซึ่งมีพระปรางค์เป็นประธานหลักของวัด ตามความในพระราชพงศาวดารว่า “ศักราชได้ ๗๑๕ ปีมะเส็งเบญศก วันพฤหัสบดี เดือน ๔
ขึ้น ๑
ค่ำ เพลาเช้า ๒ นาฬิกา ๕ บาท
ทรงพระกรุณาตรัสว่า ที่พระตำหนักเวียงเหล็กนั้น ให้สถาปนาพระวิหาร พระมหาธาตุเป็นพระอาราม แล้วให้นามชื่อ “วัดพุทไธศวรรย์”
ต่อมาพระราชพงศาวดารว่าโปรดให้ขุดศพเจ้าแก้ว เจ้าไทย ขึ้นมาถวายพระเพลิง จากนั้นให้สถาปนาพระอารามขึ้นบริเวณนั้นเรียกว่าวัดป่าแก้ว ซึ่งเชื่อกันว่าคือบริเวณวัดใหญ่ชัยมงคล นอกจากนั้นยังสันนิษฐานได้ว่าทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก ดังที่พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิตว่าทรงสร้างวัดหน้าพระธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดเดิมขึ้น
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
พระเจ้าอู่ทองเสด็จสวรรคตเมื่อจุลศักราช ๗๓๑
ปีระกาเอกศก ตรงกับ พ.ศ.
๑๙๑๒ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่าอยู่ในราชสมบัติ ๒๐
ปี
ทำได้ดีมากค่ะ
ตอบลบขึ้นครองราชเมื่อครั้งที่เท่าไหร่หรอค่ะ
ลบอยากรู้ พอดีกำลังเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้พอดี
ไม่รู่คะ
ลบโอ้มันบักแตงโม
ลบ.....
ลบอั้ยยะ
ตอบลบรอเขียว หรือ รูป อยู่นะเพื่อน
ตอบลบไอ้สาสสสสสสสสสสสสส
ตอบลบไอ้แม่ย้อย
ลบไม่คิดมากเพื่อน
ตอบลบนุไม่ถูกใจสินี้อยากจะร้อง
ตอบลบทำงานเพื่อนไม่เขียว
ตอบลบ