สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑
(ขุนหลวงพ่องั่ว)
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพ่องั่ว หรือขุนหลวงพะงั่ว) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่
๓ แห่งกรุงศรีอยุธยา เสด็จพระราชสมภพ พ.ศ. ๑๘๕๓ เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สวรรคตใน พ.ศ.
๑๙๑๒ สมเด็จพระราเมศวรซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์โตเสด็จขึ้นครองราชย์ หากแต่ปีรุ่งขึ้นสมเด็จพระบรมราชาธิราชเสด็จยกทัพมาจากเมืองสุพรรณบุรี
สมเด็จพระราเมศวรจึงมอบราชสมบัติให้แล้วเสด็จไปประทับที่เมืองลพบุรี ขณะที่สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่
๑ ขึ้นครองราชย์นั้นมีพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ตามที่ปรากฏในคัมภีร์จุลยุทธการวงศ์ซึ่งเป็นพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับภาษาบาลี
และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ เสวยราชย์เมื่อปีจอ จุลศักราช ๗๓๒ (พ.ศ. ๑๙๑๓) ครองราชย์ ๑๒ ปี สวรรคตเมื่อจุลศักราช ๗๔๔ (พ.ศ.
๑๙๒๕) แต่ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ว่าสวรรคตปีมะโรง จุลศักราช ๗๕๐ (พ.ศ. ๑๙๓๑) รวมเวลาที่ทรงครองราชย์
๑๘ ปี
พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์อธิบายความช่วงการเปลี่ยนแผ่นดินจากรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่
๑
(พระเจ้าอู่ทอง) ไปยังรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่
๑ และ สมเด็จพระราเมศวรไว้ว่า
“ศักราช ๗๓๑ ระกาศก
(พ.ศ. ๑๙๑๒) แรกสร้างวัดพระราม ครั้งนั้นสมเด็จพระรามาธิบดีเจ้าเสด็จนฤพาน จึงพระราชกุมารท่านสมเด็จพระ
(ราเม) ศวรเจ้าเสวยราชสมบัติ ครั้นเถิงศักราช ๗๓๒
จอศก (พ.ศ. ๑๙๑๓)
สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า เสด็จมาแต่เมืองสุพรรณบุรี ขึ้นเสวยราชสมบัติพระนครศรีอยุธยา
และท่านจึงให้สมเด็จพระราเมศวรเจ้า เสด็จไปเสวยราชสมบัติเมืองลพบุรี”
พระนามขุนหลวงพ่องั่ว หรือขุนหลวงพะงั่วนั้น
ทำให้สันนิษฐานได้ว่าทรงเป็นพระราชโอรสในลำดับที่ ๕ เพราะการนับลำดับลูกชายในเอกสารโบราณเรียงลำดับคือ
อ้าย ยี่ สาม ไส งั่ว ลก เจ็ด แปด เจ้า จ๋ง
ความสัมพันธ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ขุนหลวงพะงั่วนี้พระราชพงศาวดารว่าเป็นพี่พระมเหสีของสมเด็จพระรามาธิบดีที่
๑
(พระเจ้าอู่ทอง) ด้วย จึงโปรดให้ไปครองเมืองสุพรรณบุรีและได้มีบทบาทในการสู้รบกับข้าศึกในรัชกาลพระเจ้าอู่ทองมาแต่ก่อน
ครั้นสิ้นแผ่นดินแล้วจึงเสด็จยกทัพมาขึ้นครองราชย์ที่อยุธยา
พระราชพงศาวดารบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในรัชกาลของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่
๑ ไว้ว่า ก่อนขึ้นครองราชย์นั้นเคยไปครองเมืองชัยนาท
(พิษณุโลก) อยู่ระยะหนึ่ง เมื่อครั้งที่อยุธยารบชนะสุโขทัย
ได้ทรงยกทัพไปตีเมืองนครธมแห่งกัมพูชาเพื่อช่วยกองทัพของสมเด็จพระราเมศวร เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วได้ยกทัพไปรบเมืองเหนือหลายครั้ง
โดยเฉพาะการยึดเมืองชากังราวและเมืองพิษณุโลก
ใน พ.ศ. ๑๙๑๖ ทรงยกทัพจากอยุธยาไปตีเมืองชากังราว ครั้งนั้นพระยาไสแก้วและพระยาคำแหงเจ้าเมืองออกรบ
พระยาไสแก้วเสียชีวิต ส่วนพระยาคำแหงหลบหนีกลับเข้าเมืองได้ อีก ๓ ปี ต่อมาทรงยกทัพหลวงขึ้นไปอีกครั้งหนึ่ง พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ระบุว่า
“ศักราช ๗๓๘ มะโรงศก
(พ.ศ. ๑๙๑๙) เสด็จไปเอาเมืองชากังราวเล่า ครั้งนั้น พญาคำแหงแลท้าวผ่าคอง คิดด้วยกันว่าจะยอทัพหลวง
และจะทำมิได้ แลท้าวผ่าคองเลิก ทัพหนี แลจึงเสด็จทัพหลวงตาม แลท้าวผ่าคองนั้นแตก แลจับได้ตัวท้าวพระยา
แลเสนาขุนหมื่นครั้งนั้นมาก แลทัพหลวงเสด็จกลับคืน”
จากนั้นอีก ๒ ปี สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่
๑ ทรงยกทัพไปตีเมืองกำแพงเพชร พระมหาธรรมราชาที่ ๒ แห่งสุโขทัยทรงออกรบด้วย แต่เพลี่ยงพล้ำต่อทัพกรุงศรีอยุธยา
จึงออกถวายบังคมเป็นการยอมรับในอำนาจทางทหารของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่
๑ ทรงให้พระมหาธรรมราชาปกครองเมืองสุโขทัยต่อไป แต่ให้ขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาในฐานะเมืองประเทศราช
ใน พ.ศ.๑๙๓๑ ทรงยกทัพขึ้นไปชากังราวอีกครั้ง และเสด็จสวรรคตระหว่างเดินทัพกลับ
นอกจากเมืองชากังราวแล้ว สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่
๑ ยังทรงยกทัพไปล้านนาเพื่อจะยึดเอาเมืองเชียงใหม่ แต่ทรงได้เพียงเมืองลำปางที่ยอมอ่อนน้อมเท่านั้น
อนึ่ง พระราชกรณียกิจที่สำคัญทางฝ่ายพระพุทธศาสนาของพระองค์คือการสถาปนาพระศรีรัตนมหาธาตุขึ้นเมื่อ
พ.ศ.
๑๙๑๗ ร่วมกับพระมหาเถระรูปสำคัญคือพระมหาเถรธรรมากัลญาณ โดยทรงสร้างพระศรีรัตนมหาธาตุสูง
๑๙ วา และยอดนพศูลสูง ๓ วา เป็นพระอารามสำคัญกลางพระนคร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น