หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

ประวัติสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพ่องั่ว)

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑
(ขุนหลวงพ่องั่ว)


          สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพ่องั่ว หรือขุนหลวงพะงั่ว) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงศรีอยุธยา เสด็จพระราชสมภพ พ.. ๑๘๕๓ เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สวรรคตใน พ.. ๑๙๑๒ สมเด็จพระราเมศวรซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์โตเสด็จขึ้นครองราชย์ หากแต่ปีรุ่งขึ้นสมเด็จพระบรมราชาธิราชเสด็จยกทัพมาจากเมืองสุพรรณบุรี สมเด็จพระราเมศวรจึงมอบราชสมบัติให้แล้วเสด็จไปประทับที่เมืองลพบุรี ขณะที่สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ขึ้นครองราชย์นั้นมีพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ตามที่ปรากฏในคัมภีร์จุลยุทธการวงศ์ซึ่งเป็นพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับภาษาบาลี และพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑  เสวยราชย์เมื่อปีจอ จุลศักราช ๗๓๒ (.. ๑๙๑๓) ครองราชย์ ๑๒ ปี สวรรคตเมื่อจุลศักราช ๗๔๔  (.. ๑๙๒๕) แต่ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ว่าสวรรคตปีมะโรง  จุลศักราช ๗๕๐ (.. ๑๙๓๑) รวมเวลาที่ทรงครองราชย์ ๑๘ ปี

         พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์อธิบายความช่วงการเปลี่ยนแผ่นดินจากรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ไปยังรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ และ สมเด็จพระราเมศวรไว้ว่า

         “ศักราช ๗๓๑ ระกาศก (.. ๑๙๑๒) แรกสร้างวัดพระราม ครั้งนั้นสมเด็จพระรามาธิบดีเจ้าเสด็จนฤพาน จึงพระราชกุมารท่านสมเด็จพระ (ราเม) ศวรเจ้าเสวยราชสมบัติ ครั้นเถิงศักราช ๗๓๒ จอศก (.. ๑๙๑๓) สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า เสด็จมาแต่เมืองสุพรรณบุรี ขึ้นเสวยราชสมบัติพระนครศรีอยุธยา และท่านจึงให้สมเด็จพระราเมศวรเจ้า  เสด็จไปเสวยราชสมบัติเมืองลพบุรี”

         พระนามขุนหลวงพ่องั่ว หรือขุนหลวงพะงั่วนั้น ทำให้สันนิษฐานได้ว่าทรงเป็นพระราชโอรสในลำดับที่ ๕ เพราะการนับลำดับลูกชายในเอกสารโบราณเรียงลำดับคือ อ้าย ยี่ สาม ไส งั่ว ลก เจ็ด  แปด เจ้า จ๋ง ความสัมพันธ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ขุนหลวงพะงั่วนี้พระราชพงศาวดารว่าเป็นพี่พระมเหสีของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ด้วย จึงโปรดให้ไปครองเมืองสุพรรณบุรีและได้มีบทบาทในการสู้รบกับข้าศึกในรัชกาลพระเจ้าอู่ทองมาแต่ก่อน ครั้นสิ้นแผ่นดินแล้วจึงเสด็จยกทัพมาขึ้นครองราชย์ที่อยุธยา

          พระราชพงศาวดารบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในรัชกาลของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑  ไว้ว่า ก่อนขึ้นครองราชย์นั้นเคยไปครองเมืองชัยนาท (พิษณุโลก) อยู่ระยะหนึ่ง เมื่อครั้งที่อยุธยารบชนะสุโขทัย ได้ทรงยกทัพไปตีเมืองนครธมแห่งกัมพูชาเพื่อช่วยกองทัพของสมเด็จพระราเมศวร เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วได้ยกทัพไปรบเมืองเหนือหลายครั้ง โดยเฉพาะการยึดเมืองชากังราวและเมืองพิษณุโลก

       ใน พ.. ๑๙๑๖ ทรงยกทัพจากอยุธยาไปตีเมืองชากังราว ครั้งนั้นพระยาไสแก้วและพระยาคำแหงเจ้าเมืองออกรบ พระยาไสแก้วเสียชีวิต ส่วนพระยาคำแหงหลบหนีกลับเข้าเมืองได้ อีก ๓ ปี  ต่อมาทรงยกทัพหลวงขึ้นไปอีกครั้งหนึ่ง พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ระบุว่า

       “ศักราช ๗๓๘ มะโรงศก (.. ๑๙๑๙) เสด็จไปเอาเมืองชากังราวเล่า ครั้งนั้น พญาคำแหงแลท้าวผ่าคอง คิดด้วยกันว่าจะยอทัพหลวง และจะทำมิได้ แลท้าวผ่าคองเลิก ทัพหนี แลจึงเสด็จทัพหลวงตาม แลท้าวผ่าคองนั้นแตก แลจับได้ตัวท้าวพระยา แลเสนาขุนหมื่นครั้งนั้นมาก แลทัพหลวงเสด็จกลับคืน”


           จากนั้นอีก ๒ ปี สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ทรงยกทัพไปตีเมืองกำแพงเพชร พระมหาธรรมราชาที่ ๒ แห่งสุโขทัยทรงออกรบด้วย แต่เพลี่ยงพล้ำต่อทัพกรุงศรีอยุธยา จึงออกถวายบังคมเป็นการยอมรับในอำนาจทางทหารของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ทรงให้พระมหาธรรมราชาปกครองเมืองสุโขทัยต่อไป แต่ให้ขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาในฐานะเมืองประเทศราช ใน พ..๑๙๓๑ ทรงยกทัพขึ้นไปชากังราวอีกครั้ง และเสด็จสวรรคตระหว่างเดินทัพกลับ

         นอกจากเมืองชากังราวแล้ว สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ยังทรงยกทัพไปล้านนาเพื่อจะยึดเอาเมืองเชียงใหม่ แต่ทรงได้เพียงเมืองลำปางที่ยอมอ่อนน้อมเท่านั้น

         อนึ่ง พระราชกรณียกิจที่สำคัญทางฝ่ายพระพุทธศาสนาของพระองค์คือการสถาปนาพระศรีรัตนมหาธาตุขึ้นเมื่อ พ.. ๑๙๑๗ ร่วมกับพระมหาเถระรูปสำคัญคือพระมหาเถรธรรมากัลญาณ โดยทรงสร้างพระศรีรัตนมหาธาตุสูง ๑๙ วา และยอดนพศูลสูง ๓ วา เป็นพระอารามสำคัญกลางพระนคร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น